วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทพ ฮอรัส

       สัญลักษณ์รูป ตาที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในศิลปะของอียิปต์นั้น เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาของเทพเจ้าของอียิปต์ที่มีความสำคัญมากองค์หนึ่ง นั่นคือ เทพฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ และอีกข้างเป็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ดวงตาของฮอรัส (Eye of Horus หรือ wedjat) ที่แทนด้วยดวงตาของมนุษย์ที่มีหางตาเป็นแบบของเหยี่ยว และมีลวดลายสัญลักษณ์รอบๆ ตาซึ่งบางครั้งก็มีหยดน้ำตาด้วย โดยที่คนอียิปต์โบราณจะออกเสียงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า “udjat”      
       ชาว อียิปต์โบราณนับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และยังได้รับการเปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์ จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองค์หนึ่ง โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย
       ทั้ง นี้ ตามตำนานเทพโบราณ เทพฮอรัสเป็นโอรสของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส ผู้ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ โดยมีเทพเซธคอยอิจฉาริษยาและพยายามหาทางแย่งชิงราชบัลลังก์ ต่อมาเทพเซธได้สังหารบิดาของเทพฮอรัสและแยกชิ้นส่วนไปทิ้งตามที่ต่างๆ ทั่วอียิปต์ ทั้งยังควักลูกตาของพระองค์ออกข้างหนึ่ง โดยมีเทพทอต เทพเจ้าแห่งความฉลาดรอบรู้ ผู้สนับสนุนศาสตร์ความรู้และศิลปะแห่งการเขียนเป็นผู้เก็บดวงตานั้นกลับมา และรักษาอย่างอดทน
จนพระองค์หายดี และในที่สุดพระองค์ก็สามารถตามเก็บชิ้นส่วนของพระบิดากลับมาได้
           พระองค์ ถูกบันทึกในอักษรภาพของอียิปต์ว่า ḥr.w และถูกสร้างขึ้นใหม่ให้เด่นชัดขึ้น *Ḥāru หมายความว่า "นกเหยี่ยว" ระหว่างช่วงเวลาของอียิปต์โบราณ ชื่อของ Hōr ได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาษากรีกว่า Ὡρος Hōros ชื่อเดิมของพระองค์ยังคงอยู่ในสมัยอียิปต์โบราณตอนปลายเช่น Har-Si-Ese ตามตัวอักษรหมายถึง "ฮอรัส บุตรแห่งไอซิส" พระองค์ยังอยู่ในฐานะเทพแห่งท้องฟ้าและเทพแห่งดวงอาทิตย์ของชาวอียิปต์อีก ด้วย
       ใน ปัจจุบัน สัญลักษณ์นี้ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนก็สักรูปดวงตาของฮอรัสเพื่อความเป็นสิริมงคลตามความหมายดั้งเดิมของ อียิปต์โบราณ ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แหวน สร้อย ต่างหูก็มีการออกแบบโดยใช้ดวงตาของฮอรัสเป็นต้นแบบอีกด้วย










 

เทพรา พิโรธ ตรัสเรียก เทพีเสคเมต

เรื่อง เทพรา พิโรธ ตรัสเรียก เทพีเสคเมต

ก่อน ที่ดินแดนไอยคุปต์จะผุดขึ้นจากผืนน้ำอันเป็นการเริ่มต้นของกำเนิดโลก รา เทพเจ้าผู้มีรัศมีรุ่งเรือง ทรงถือกำเนิดขึ้นและทรงไว้ด้วยฤทธานุภาพสูงสุด

ในทันใดที่เทพ รา ตรัสว่า

"ข้าคือ เคเปรา (Khepera) ในยามรุ่งอรุณ?    

 ?คือ รา (Ra) ในยามเที่ยง?

  ?และ ทุม (Tum) ในยามสายัณห์ "

พระองค์ ทรงปรากฎร่างเป็นดวงสุริยาที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก บทจรข้ามท้องฟ้าและลับหายไปทางทิศตะวันตก ในวันแรกของการให้กำเนิดโลก  

รูปภาพเมื่อพระองค์ขนานนาม ชู (Shu) สายลมก็พัด สายฝนโปรายปรายเมื่อพระองค์เอ่ยนาม เตฟนุต (Tefnut) แล้วพระองค์ก็ทรงเอ่ยนาม เกบ (Geb) ทำให้เกิดแผ่นดินโผล่ขึ้นจากทะเล และทรงเอ่ยออกมาว่า นุต (Nut) ก็ บังเกิดร่างของเทวีแห่งท้องฟ้าที่หยัดพระบาทไว้ที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง พร้อมวางพระหัตถ์ยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง และเมื่อทรงเอ่ยนาม ฮาปิ (Hapi) ก็เกิดแม่น้ำไนล์ไหลผ่านดินแดนไอยคุปต์เพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์


ต่อ จากนั้นเทพราจึงทรงสร้างสรรพสิ่งจากพระสาโท (เหงื่อ) และน้ำพระเนตร (น้ำตา) ที่ไหลมาจากดวงตาแห่งรา สิ่งสุดท้ายที่พระองค์สร้างคือ มนุษย์ชายและหญิงนั้นก็ได้ให้กำเนิดประชาชนที่พำนักอาศัยทั่วไปบนแผ่นดินไอ ยคุปต์ แล้วเทพราก็ทรงกลายร่างเป็นมนุษย์ และทรงขึ้นครองบัลลังค์เป็นฟาโรห์องค์แรกของไอยคุปต์ ทรงปกครองโลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์สถาพร ทั้งสงบสุขและมั่งคั่ง

ใน ยุคสมัยของเทพ รา แม่น้ำไนล์หลากท่วมท้องนาและ
ลดลงสู่ระดับเดิมทุกปี โดยทิ้งโคลนตะกอนหนาเคลือบผิวดินที่ทำให้ผลผลิตงอกงาม ไม่มีปีใดที่แห้งแล้งเพราะแม่น้ำไนล์หลากน้อยเกินไป หรือท่วมมากหรือนนเกินไป นั่นถือเป็นยุคทองของไอยคุปต์

แต่ เนื่องจากข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร และ รา ก็ทรงเนรมิตให้พระองค์เองกลายเป็นมนุษย์เพื่อปกครองไอยคุปต์ พระองค์จึงต้องดำเนินตามวิถีวัฏสังขารเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป เมื่อทรงชรา พระอัฐิ (กระดูก) ดูเป็นแท่งเงิน พระวรกาย (ร่างกาย) เหมือนทองคำ และพระเกศา (ผม) เป็นสีดอกเลา พระองค์ไม่สามารถปกครองผู้คนในไอยคุปต์ได้ดีเช่นเดิม ไม่อาจรบกับ อาโปฟิส มังกรแห่งความชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นมาจากละอองปีศาจในความมืดยามราตรี ซึ่งทุกสิ่งที่ดีงามที่สดใสและได้รับจุมพิตจากดวงอาทิตย์ จะถูก อาโปฟิส คอยค้นหาและกลืนกิน

ใน ขณะนั้นปีศาจแห่งอาโปฟิสก็เข้าครอบงำขวัญวิญญาณของคนในไอยคุปต์และทำให้คน เหล่านั้นเป็นกบฎต่อ รา ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและเคารพบูชามังกรแห่งความมืดแทนการเคารพบูชาดวงเนตร แห่งทิวาและราตรีกาล

รา จึงตรัสว่า "นุน ผู้มีอาวุโสสูงสุดของทุกสิ่งและผองเทพที่ข้าเรียกให้มีชีวิต จงดูเถิด มนุษยชาติที่ข้าสร้างในชั่วเวลาวูบเดียว ข้ให้พวกเขาเกิดมาบนโลก และเป็นบริวารของข้า ทั้งยามเป็นและยามตาย ต่อมาบัดนี้ พวกเขากับวางแผนจะล้มล้างข้า ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ทำสิ่งที่เลวทรามในสายตาข้าไปจนถึงไอยคุปต์ตอนบน จงบอกข้าสิว่า ข้าควรเผาพวกมันด้วยเปลวเพลิงจากดวงตาของข้าได้แล้วใช่ไหม?"

นุ น กล่าวทูลแทนคณะเทพว่า "รา ผู้ยิ่งใหญ่เหนือข้า พระองค์นั้นทรงฤทธานุภาพย่งกว่าเทพทุกองค์ที่พระองค์สร้างขึ้น หากพระองค์ใช้กำลังเพลิงจากดวงพระเนตรสุริยา ประหารชีวิตมนุษย์ ดินแดนไอยคุปต์ทั้งหมดจะกลายเป็นทะเลทราย ดังนั้น โปรดเนรมิตสิ่งที่จู่โจมทำลายแต่เพียงมนุษย์ชาย-หญิงที่ชั่วร้าย โดยไม่ทำลายต่อสิ่งที่ดีงามเถิด พระเจ้าข้า"

รา จึงตัดสินพระทัยว่า "แทนการใช้เพลิงจากดวงตาเผาพลาญ ข้าจะส่ง เสคเมต (Sekhmet) ไปกำจัดมนุษย์"

ขณะที่ รา ตรัสถึงชื่อ 'เสคเมต' สิ่ง นั้นก็บังเกิดขึ้นทันทีในรูปของนางสิงห์ร่างขนาดยักษ์ นางพุ่งตรงไปยังไอยคุปต์ตอนบน ขย้ำและกัดกินมนุษย์เป็นอาหารจนแม่น้ำไนล์แดงฉานไปด้วยโลหิตและพื้นดินริม ฝั่งแม่น้ำกลายเป็นโคลนเหนียวสีแดง

ใน เวลาไม่นาน มนุษย์ชั่วช้าส่วนใหญ่ก็ถูก เสคเมต สังหารจนหมด บรรดาคนที่เหลือก็ขอร้องให้ รา ทรงอภัยโทษ และ รา ก็ทรงโปรดให้ไว้ชีวิตพวกเขาด้วยพระองค์ไม่ปรารถนาจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมด เพราะพระองค์จะต้องกลายเป็นผู้ครอบครองโลกที่อ้างว้างและไม่มีมนุษย์คอยรับ ใช้

แต่ เสคเมต เกิดติดใจในรสเลือดของมนุษย์ นางจึงไม่ยอมที่จะหยุดล่าสังหาร ทุกๆวันนางสิงห์จะท่องไปทั่วดินแดนไอยคุปต์และฆ่าทุกคนที่พบเห็น ยามกลางคืนนางจะซ่อนตัวอยู่ในแนวก้อนหินริมทะเลทราย รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและเริ่มออกล่าอีกครั้ง

รา จึงตรัสว่า "กลอุบายเท่านั้นที่จะสามารถหน่วงเหนี่ยว เสคเมต ได้ หากข้าทำได้และช่วยให้มนุษย์พ้นจากเขี้ยวอันคมกริบและอุ้งมือของนางสำเร็จ ข้าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่กว่าเดิมและเหนือมนุษย์ให้นาง เพื่อให้นางมีใจยินดีและไม่รู้สึกด้อยเกียรติว่าถูกทอนอำนาจ"

ดัง นั้น รา จึงทรงเรียกผู้เดินสารที่รวดเร็วว่องไว และทรงบัญชา "จงวิ่งให้เร็วยิ่งกว่าและเงียบยิ่งกว่าเงาของตัวเอง ไปยังเกาะแห่ง เอเลฟันไตน์ (Elephantine) ในแม่น้ำไนล์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของ คาตารัคต์* (Cataract) จงนำดินสีแดงซึ่งมีอยู่ที่นั่นเพียงแห่งเดียวมาให้ข้าโดยด่วน"

เหล่า นักเดินสารมุ่งฝ่าความมืดและกลับมายัง เฮลิออโปลิส นครแห่ง รา พร้อมกับดินสีแดงจาก เอเลฟันไตน์ จำนวนมาก ในขณะเดียวกัน โดยราชโองการของ รา นักบวชหญิงแห่งวิหารดวงอาทิตย์ทุกองค์และผู้รับใช้ในพระราชวังทุกคนก็ร่วม กันบดข้าวบาร์เลย์ และเริ่มทำเบียร์ซึ่งทำได้ถึง 7,000 เหยือก แล้วผสมดินนั้นเข้ากับดินของ เอเลฟันไตน์ จนมีสีแดงข้นราวกับเลือดเมื่อต้องแสงจันทร์
" เอาล่ะ" รา ทรงเอ่ยขึ้น "ขนสิ่งนี้ทวนกระแสน้ำ เพื่อคุ้มครองมนุษยชาติ นำไปยังที่ที่ เสคเมต มุ่งจะไปทำการล่าเหยื่อในวันรุ่งขึ้น และเทมันลงบนพื้นเพราะนี่จะเปนกับดักเพื่อจับนาง" เมื่อ ฟ้าสาง เสคเมต ออกจากถ้ำของนางหลังกองหิน นางอยู่ท่ามกลางแสงแดดและมองไปรอบๆเพื่อหาอาหาร นางไม่เห็นมีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่สถานที่ที่นางได้ฆ่าคนไปมากมายเมื่อวานนี้ กลับกลายเนท้องนาที่ถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่หนาเท่ากับความกว้าง 3 ฝ่ามือ และดูเหมือนเลือด เส คเมต จึงหัวเราะด้วยเสียงราวกับเสียงคำรามของนางสิงห์ที่กำลังหิวโหย นางคิดว่าสิ่งนั้นคือเลือดที่นางทำให้มันหลั่งในวันก่อน นางจึงก้มลงและดื่มมันอย่างตะกละตะกราม ดื่มแล้วดื่มเล่า ฤทธิ์ของเบียร์ที่แล่นเข้าสู่สมองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนางสิงห์ไม่อาจออกล่าหรือสังหารได้
 จวบ จนกลางวันใกล้จะสิ้นสุด นางคลานมาจนถึง เฮลิออโปลิส ที่ รา ทรงรอคอยอยู่ และเมื่อกลางวันแตะขอบฟ้า นางสิงห์ก็มิได้สังหารมนุษย์ผู้ชายหรือผู้หญิงแม้สักคนเดียวตั้งแต่เย็น เมื่อวาน

"เจ้ามาโดยสันติ ดีมาก" รา ตรัส "สันติจงมีแด่เจ้าเช่นเดียวกับนามใหม่ เจ้ามิใช่ เสคเมต นักฆ่าอีกต่อไป แต่เป็น ฮาธอร์ (Hathor) เทพี แห่งความรัก อำนาจที่เจ้ามีต่อมนุษย์จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะความรู้สึกแห่งรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความเกลียดชัง ทุกคนที่ได้รู้จักความรักจะเป็นเหยื่อของเจ้า ยิ่งกว่านั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงวันนี้ นักบวชหญิงแห่งความรักจะดื่มเบียร์แห่ง เฮลิออโปลิส กับดินสีแดงแห่ง เอเลฟันไตน์ ในวันแรกของทุกปี เป็นเทศกาลอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติต่อ ฮาธอร์"

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เทพโอซีริส(osiris)

โอซิริส (Osiris)
เทพแห่งสันติ

ชื่อนี้คือชื่อเทพรุ่นแรกสุดของอียิปต์ เป็นเทพที่ได้ชื่อว่ารังเกียจความรุนแรงจับใจที่สุดองค์หนึ่ง ความรังเกียจเช่นนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจจริงๆ ไม่ช้าไม่นานเมื่อท้าวเธอต้องกลายมาเป็นเทพผู้ปกครองอียิปต์พระองค์พบว่าประชากรอันมากมายของพระองค์เวลานั้นเป็นพวกป่าเถื่อนแบบบริสุทธิ์จริงๆ ทั้งไม่สามรถคิดอ่านอะไรเองได้เนื่องจากความไม่รู้ และยังไร้ศีลธรรมอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม โอซิริสก็ยังสามรถโน้มน้าวบรรดาประชาชนเหล่านั้นให้มาเชื่อฟังกฎระเบียบของพระองค์ได้ เชื่อไหมว่าพระองค์สอนด้วยวิธีสันติเพียงอย่างเดียวให้รู้ถึงการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ตั้งสังคมขึ้น และบริหารสังคมนั้นด้วยวินัยและศีลธรรม โอซิริสสอนให้มีการเพาะปลูกทั่วไป สอนให้ทำขนมปังเป็นอาหาร แถมยังสอนให้หมักไวน์และเบียร์เพื่อความสนุกสนานอีกซะด้วย

โอซิริสสร้างบ้านแปลงเมือง สร้างวัดวาอารามและมีการสร้างเทวรูปไว้บูชาเป้นรูปแรก พระองค์สร้างดนตรีไว้เพื่อความเพลิดเพลินและการบูชาภายใต้การปกครองของโอซิริสและมเหสีคือ ไอซิส (Isis)
อียิปต์กลายเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ในโลกโบราณเชียวล่ะ
แล้วตอนนั้นเองที่โอซิริสตั้งใจว่าจะเผยแพร่
อารยธรรมของพระองค์ไปทั่วโลก

แต่เนื่องจากเป็นคนที่เกลียดความรุนแรง ในการเผยแพร่อารยธรรมในครั้งนี้โอซิริสจึงไม่ได้ใช้กำลังทางทหารเลย พระองค์ใช้เวทมนตร์ของดนตรีและบทเพลงของพระองค์เท่านั้น แต่ว่าชาติแล้วชาติเล่าก็ต้อนรับอารยธรรมที่พระองค์นำไปให้ ท้ายที่สุดเมื่อโอซิริสกลับถึงบ้านพระองค์ก็ได้เผยแพร่ความเจริญให้กับส่วนอื่นๆ ของโลกจนครบ

ส่วนในอียิปต์ตอนที่โอซิริสไม่อยู่ ราชินีไอซิสก็ได้สานต่องานของพระสวามีด้วยการสอนผู้หญิงอียิปต์ในงานปั่นด้ายและทอผ้า สอนให้ผู้ชายรักษาคนป่วย ไอซิสคิดค้นการแต่งงาน ซึ่งทำให้ผู้หญิงและชายจะแบ่งปันความสุขและแรงงานระหว่างกัน ภายใต้การปกคองที่รุ่งเรืองของโอซิริสและไอซิสโลกของเราน่าจะมีสนติสุขจริงๆ แต่นั่นจะต้องไม่มีเซท (Set) น้องชายทรยศของโอซิริสเองซึ่งเป็นผู้ทำให้ยุคทองนี้ล่มสลายลง

ด้วยนิสัยของมนุษย์เรานี่ละ ใช่ว่าจะมีคนแบบเดียวกันทั้งโลก ดังนั้นพวกที่มีจิตคิดอิจฉาริษยาจึงเข้าพวกกับเซทกันมากเหมือนกัน และพวกที่ร้ายๆ แบบนี้ก็พากันหาอุบายมาฆ่าโอซิริสจนสำเร็จ จักการเอาพระศพยัดลงโลง แล้วเอาไปถ่วงในแม่น้ำไนล์ แต่ว่าโลงพระศพ
กลับล่องลอบออกไปทางปากแม่น้ำสู่ทะเลจนไปเกยฝั่งที่
ฟีเนียเซีย ราชินีไอซิสผู้โศกเศร้าได้พยายามติดตามหาพระศพ

ของพระสวามีจนมาพบและได้ช่วยชุบชีวิตของพระองค์ขึ้นมาใหม่

ความผิดพลาดของการที่พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะใช้กำลังรุนแรงนนี่ละทำให้พระองค์พลาดอีกครั้งอย่างจังเบอร์เลย เมื่อพระองค์ไม่ลงทัณฑ์เซท กลับปล่อยเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามในที่สุดไม่ช้าไม่นานเซทก็วางแผนฆ่าพระองค์อีกจนได้ คราวนี้สับพระศพแยกออกเป็นส่วนๆ ถึงสิบสี่ชิ้น กะไม่มีการชุบชีวิตขึ้นได้อีกครั้งโดยเด็ดขาด แล้วเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโปรยทั่วอียิปต์ ร้อนถึงไอซิสผู้โชคร้ายต้องติดตามชิ้นส่วนของพระสวามีตามที่ต่างๆ นำมาประกอบเป็นรูปร่าง และคิดค้นเทคนิคการดองศพเพื่อชุบโอซิริสขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง

แต่ว่าคราวนี้พระองค์กลับได้รับการเลือกให้เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งความตายนิรันดร์ เป็นที่ซึ่งพระองค์จะไม่คืนมาสู่อียิปต์ในรูปของมนุษย์อีกต่อไป อียิปต์ในความดูแลของพระองค์เหลือเพียงเรื่องของการอำนวยผลแห่งความอุดมของดินและสายน้ำที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดชีวิตของแม่น้ำไนล์ แล้วเซทผู้ริษยาล่ะ หลังจากที่ฆ่าพี่ชายตายจนโอซิริสกลายเป็นเทพแห่งอาณาจักรในความมืดเซทยังไม่ลดละความริษยาลงเลย ยังคงตามจองล้างด้วยการนำเอาความแห้งแล้ง และพายุทรายมารบกวนอียิปต์อยู่เนืองๆ

ส่วนไอซิสราชินีหม้าย ซึ่งแสนจะโสกเศร้ากับการจากไปของพระสวามีก็มีชะตากรรมสุดท้ายที่ไร้ความสุข เมื่อโอรสของพระองค์กับโอซิริสคือ โฮรัส (Horus) ต้องการจะแก้แค้นเซท พระนางทรงห้ามด้วยไม่ต้องกานให้เกิดความรุนแรงขึ้นตามนโยบายของพระสวามี แต่คราวนี้โฮรัสเกิดบันดาลโทสะฟาดดาบตัดศีรษะพระมารดาสิ้นชีพ พระนางไอซิสหลังจากสิ้นชีพแล้วก็กลายเป็นเทวีที่ช่วยให้คนตายได้ไปพบกับโอซิริส ฉะนั้นคนดีที่กำลังจะตายเห็นจะไม่ต้องกลัวอะไร เพราะเทพและเทวีคู่นี้จะเป็นผู้นำทางเขาไปนิรันดร์กาล