ก่อน ที่ดินแดนไอยคุปต์จะผุดขึ้นจากผืนน้ำอันเป็นการเริ่มต้นของกำเนิดโลก รา เทพเจ้าผู้มีรัศมีรุ่งเรือง ทรงถือกำเนิดขึ้นและทรงไว้ด้วยฤทธานุภาพสูงสุด
ในทันใดที่เทพ รา ตรัสว่า
"ข้าคือ เคเปรา (Khepera) ในยามรุ่งอรุณ?
พระองค์ ทรงปรากฎร่างเป็นดวงสุริยาที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก บทจรข้ามท้องฟ้าและลับหายไปทางทิศตะวันตก ในวันแรกของการให้กำเนิดโลก
เมื่อพระองค์ขนานนาม ชู (Shu) สายลมก็พัด สายฝนโปรายปรายเมื่อพระองค์เอ่ยนาม เตฟนุต (Tefnut) แล้วพระองค์ก็ทรงเอ่ยนาม เกบ (Geb) ทำให้เกิดแผ่นดินโผล่ขึ้นจากทะเล และทรงเอ่ยออกมาว่า นุต (Nut) ก็ บังเกิดร่างของเทวีแห่งท้องฟ้าที่หยัดพระบาทไว้ที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง พร้อมวางพระหัตถ์ยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง และเมื่อทรงเอ่ยนาม ฮาปิ (Hapi) ก็เกิดแม่น้ำไนล์ไหลผ่านดินแดนไอยคุปต์เพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์ ต่อ จากนั้นเทพราจึงทรงสร้างสรรพสิ่งจากพระสาโท (เหงื่อ) และน้ำพระเนตร (น้ำตา) ที่ไหลมาจากดวงตาแห่งรา สิ่งสุดท้ายที่พระองค์สร้างคือ มนุษย์ชายและหญิงนั้นก็ได้ให้กำเนิดประชาชนที่พำนักอาศัยทั่วไปบนแผ่นดินไอ ยคุปต์ แล้วเทพราก็ทรงกลายร่างเป็นมนุษย์ และทรงขึ้นครองบัลลังค์เป็นฟาโรห์องค์แรกของไอยคุปต์ ทรงปกครองโลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์สถาพร ทั้งสงบสุขและมั่งคั่ง
ใน ยุคสมัยของเทพ รา แม่น้ำไนล์หลากท่วมท้องนาและลดลงสู่ระดับเดิมทุกปี โดยทิ้งโคลนตะกอนหนาเคลือบผิวดินที่ทำให้ผลผลิตงอกงาม ไม่มีปีใดที่แห้งแล้งเพราะแม่น้ำไนล์หลากน้อยเกินไป หรือท่วมมากหรือนนเกินไป นั่นถือเป็นยุคทองของไอยคุปต์
แต่ เนื่องจากข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร และ รา ก็ทรงเนรมิตให้พระองค์เองกลายเป็นมนุษย์เพื่อปกครองไอยคุปต์ พระองค์จึงต้องดำเนินตามวิถีวัฏสังขารเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป เมื่อทรงชรา พระอัฐิ (กระดูก) ดูเป็นแท่งเงิน พระวรกาย (ร่างกาย) เหมือนทองคำ และพระเกศา (ผม) เป็นสีดอกเลา พระองค์ไม่สามารถปกครองผู้คนในไอยคุปต์ได้ดีเช่นเดิม ไม่อาจรบกับ อาโปฟิส มังกรแห่งความชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นมาจากละอองปีศาจในความมืดยามราตรี ซึ่งทุกสิ่งที่ดีงามที่สดใสและได้รับจุมพิตจากดวงอาทิตย์ จะถูก อาโปฟิส คอยค้นหาและกลืนกิน ใน ขณะนั้นปีศาจแห่งอาโปฟิสก็เข้าครอบงำขวัญวิญญาณของคนในไอยคุปต์และทำให้คน เหล่านั้นเป็นกบฎต่อ รา ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและเคารพบูชามังกรแห่งความมืดแทนการเคารพบูชาดวงเนตร แห่งทิวาและราตรีกาล
รา จึงตรัสว่า "นุน ผู้มีอาวุโสสูงสุดของทุกสิ่งและผองเทพที่ข้าเรียกให้มีชีวิต จงดูเถิด มนุษยชาติที่ข้าสร้างในชั่วเวลาวูบเดียว ข้ให้พวกเขาเกิดมาบนโลก และเป็นบริวารของข้า ทั้งยามเป็นและยามตาย ต่อมาบัดนี้ พวกเขากับวางแผนจะล้มล้างข้า ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ทำสิ่งที่เลวทรามในสายตาข้าไปจนถึงไอยคุปต์ตอนบน จงบอกข้าสิว่า ข้าควรเผาพวกมันด้วยเปลวเพลิงจากดวงตาของข้าได้แล้วใช่ไหม?"
นุ น กล่าวทูลแทนคณะเทพว่า "รา ผู้ยิ่งใหญ่เหนือข้า พระองค์นั้นทรงฤทธานุภาพย่งกว่าเทพทุกองค์ที่พระองค์สร้างขึ้น หากพระองค์ใช้กำลังเพลิงจากดวงพระเนตรสุริยา ประหารชีวิตมนุษย์ ดินแดนไอยคุปต์ทั้งหมดจะกลายเป็นทะเลทราย ดังนั้น โปรดเนรมิตสิ่งที่จู่โจมทำลายแต่เพียงมนุษย์ชาย-หญิงที่ชั่วร้าย โดยไม่ทำลายต่อสิ่งที่ดีงามเถิด พระเจ้าข้า"
รา จึงตัดสินพระทัยว่า "แทนการใช้เพลิงจากดวงตาเผาพลาญ ข้าจะส่ง เสคเมต (Sekhmet) ไปกำจัดมนุษย์"
ขณะที่ รา ตรัสถึงชื่อ 'เสคเมต' สิ่ง นั้นก็บังเกิดขึ้นทันทีในรูปของนางสิงห์ร่างขนาดยักษ์ นางพุ่งตรงไปยังไอยคุปต์ตอนบน ขย้ำและกัดกินมนุษย์เป็นอาหารจนแม่น้ำไนล์แดงฉานไปด้วยโลหิตและพื้นดินริม ฝั่งแม่น้ำกลายเป็นโคลนเหนียวสีแดง
ใน เวลาไม่นาน มนุษย์ชั่วช้าส่วนใหญ่ก็ถูก เสคเมต สังหารจนหมด บรรดาคนที่เหลือก็ขอร้องให้ รา ทรงอภัยโทษ และ รา ก็ทรงโปรดให้ไว้ชีวิตพวกเขาด้วยพระองค์ไม่ปรารถนาจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมด เพราะพระองค์จะต้องกลายเป็นผู้ครอบครองโลกที่อ้างว้างและไม่มีมนุษย์คอยรับ ใช้ แต่ เสคเมต เกิดติดใจในรสเลือดของมนุษย์ นางจึงไม่ยอมที่จะหยุดล่าสังหาร ทุกๆวันนางสิงห์จะท่องไปทั่วดินแดนไอยคุปต์และฆ่าทุกคนที่พบเห็น ยามกลางคืนนางจะซ่อนตัวอยู่ในแนวก้อนหินริมทะเลทราย รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและเริ่มออกล่าอีกครั้ง
รา จึงตรัสว่า "กลอุบายเท่านั้นที่จะสามารถหน่วงเหนี่ยว เสคเมต ได้ หากข้าทำได้และช่วยให้มนุษย์พ้นจากเขี้ยวอันคมกริบและอุ้งมือของนางสำเร็จ ข้าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่กว่าเดิมและเหนือมนุษย์ให้นาง เพื่อให้นางมีใจยินดีและไม่รู้สึกด้อยเกียรติว่าถูกทอนอำนาจ" ดัง นั้น รา จึงทรงเรียกผู้เดินสารที่รวดเร็วว่องไว และทรงบัญชา "จงวิ่งให้เร็วยิ่งกว่าและเงียบยิ่งกว่าเงาของตัวเอง ไปยังเกาะแห่ง เอเลฟันไตน์ (Elephantine) ในแม่น้ำไนล์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของ คาตารัคต์* (Cataract) จงนำดินสีแดงซึ่งมีอยู่ที่นั่นเพียงแห่งเดียวมาให้ข้าโดยด่วน"
เหล่า นักเดินสารมุ่งฝ่าความมืดและกลับมายัง เฮลิออโปลิส นครแห่ง รา พร้อมกับดินสีแดงจาก เอเลฟันไตน์ จำนวนมาก ในขณะเดียวกัน โดยราชโองการของ รา นักบวชหญิงแห่งวิหารดวงอาทิตย์ทุกองค์และผู้รับใช้ในพระราชวังทุกคนก็ร่วม กันบดข้าวบาร์เลย์ และเริ่มทำเบียร์ซึ่งทำได้ถึง 7,000 เหยือก แล้วผสมดินนั้นเข้ากับดินของ เอเลฟันไตน์ จนมีสีแดงข้นราวกับเลือดเมื่อต้องแสงจันทร์



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น